เชื่อว่า ทุกคนคงเคยได้ยินได้ฟังได้รับรู้ข่าวสารของพลทหารถูกครูฝึกลงโทษโดยมีวิธีการทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตราย บาดเจ็บ หรือกระทั่งเสียชีวิต ทางโลกโซเชียลยังมีการรณรงค์ผ่าน change.org ในหัวข้อ “ ยกเลิกการเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นรูปแบบสมัครใจ ” เพื่อเป็นการเรียกร้องให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร และเปลี่ยนแปลงเป็นระบบสมัครใจโดยมีสวัสดิการและเบี้ยเลี้ยงให้ กลุ่มผู้รณรงค์ให้เหตุผลว่า ระบบการเกณฑ์ทหารนั้นเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยใช่เหตุ อีกทั้งเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชน นอกจากนั้นยังมีอีกแคมเปญหนึ่งในการรณรงค์ยกเลิกการเกณฑ์ทหารคือ “ ไม่เรียน รด. ก็ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ” เรียกร้องสิทธิคล้ายกับแคมเปญแรก กล่าวคือ ผู้ที่ไม่ได้เรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร (รด.) ก็ไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร เพราะเชื่อว่าประเทศชาติจะได้รับกองกำลังที่แท้จริงนั้นย่อมเกิดจากความสมัครใจ ไม่ใช่บังคับ
จึงเป็นการปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กระแสการรณรงค์ของการยกเลิกเกณฑ์ทหารนั้น กำลังถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่งยิ่งในทางโซเชียลยิ่งโหมกระพือมากขึ้น มีการตั้งเพจเฟชบุคชื่อ “ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ” ซึ่งเพจมุ่งเน้นรณรงค์ให้มีการยกเลิกการเกณฑ์ทหารมานานหลายปี โดยมีความคิดเห็นว่า การเกณฑ์ทหารนั้นเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชน เป็นการบังคับเผด็จการ และทำให้ผู้ที่ถูกเกณฑ์เสียสิทธิ์ในการดำรงชีวิต ยิ่งมีกระแสข่าวการถูกครูฝึกซ้อมจนได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต ยิ่งมองได้ว่าเป็นการทารุณกรรมโดยไม่สามารถต่อสู้ป้องกันตนเองได้ นอกจากนั้นยังถูกบังคับให้งดการติดต่อสื่อสารกับภายนอกอีก เสมือนเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวทั้งที่ไม่ได้เต็มใจ
แอดมินเพจยังได้กล่าวอีกว่า เชื่อว่าชายไทยและนักเรียนชายส่วนใหญ่ที่สมัครเรียนนักศึกษาวิชาทหารก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ไม่ใช่เพราะการอยากรับใช้ชาติ เพราะทุกคนทราบดีว่าเมื่อการเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์แล้วจะถูกกระทำไม่ดีอย่างไรบ้าง ตนเองมองว่า การรับใช้ชาตินั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นทหารเกณฑ์ อาชีพใด ๆ ก็สามารถรับใช้ชาติได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ทำงานจิตอาสาเพื่อสังคม นักกีฬาทีมชาติ ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประชาชนและประเทศชาติอย่างซื่อสัตย์ เป็นต้น ดังนั้น ตนจึงอยากนำเสนอการเปลี่ยนแปลงระบบการเกณฑ์ทหารมาเป็นรูปแบบสมัครใจ ยกตัวอย่างประเทศในแถบยุโรปที่เจริญแล้วล้วนแล้วแต่ใช้ระบบการสมัครทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่า ผู้ที่เต็มใจ จะมีความพร้อมทั้งกายใจ จะสามารถทำหน้าที่รับใช้ชาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีความภาคภูมิมากกว่า อีกทั้งยังสามารถลดการใช้งบประมาณแผ่นดินลงได้มาก ดีกว่าที่จะบังคับเกณฑ์ผู้ที่ไม่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจให้เข้าไปฝึก งบประมาณส่วนนั้นควรนำไปเป็นสวัสดิการและเบี้ยเลี้ยงเพื่อสนับสนุนกับผู้ที่เต็มใจและมีศักยภาพความพร้อมมากกว่า
ที่มา
http://www.posttoday.com